MG3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ปรับปรุงดีไซน์ให้ดูน่าใช้ขึ้นทั้งภายนอก-ภายใน แล้วสมรรถนะการขับขี่และการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไรบ้าง ไปติดตามกันครับ
MG3 เป็นรถยนต์ขนาดซับคอมแพ็ครุ่นเล็กสุดของเอ็มจี ถูกเปิดตัวครั้งแรกเมื่อช่วงต้นปี 2558 ตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าที่มองหารถยนต์ขนาดเล็กสำหรับใช้งานในเมือง รวมถึงกลุ่มผู้ซื้อรถยนต์คันแรก
แม้ว่ายอดขายของ MG3 โฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์จะถือว่าทำได้ดี แต่ด้วยภาพลักษณ์ทั้งเรื่องดีไซน์ที่ยังไม่ดึงดูดเท่ากับคู่แข่ง และสมรรถนะของเกียร์แบบ AMT ที่ยังไม่โดนใจผู้ใช้ชาวไทยส่วนใหญ่นัก ทำให้เหลือจุดขายสำคัญเพียงอย่างเดียวก็คือ “ราคา” ที่วางอยู่ในระดับเดียวกับอีโคคาร์ แต่ได้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตรมาแทน นั่นจริงทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมของ MG3 ยังไม่ “ปัง” เท่าที่ควร
แต่สำหรับ MG3 2018 ใหม่ มีการปรับปรุงงานดีไซน์จนเรียกได้ว่าเป็น “บิ๊กไมเนอร์เชนจ์” ทั้งภายนอก-ภายใน ด้วยการนำเอาแนวคิดการออกแบบ Emotional Dynamism ที่ใช้กับ MG ZS มาใช้ในรถรุ่นนี้ด้วย ทำให้มันดูสวยลงตัวและร่วมสมัยมากขึ้น
MG3 2018 ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ประกอบด้วย
- MG3 1.5 C
- MG3 1.5 D
- MG3 1.5 X
- MG3 1.5 V
ทุกรุ่นถูกติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ VTi-TECH ความจุ 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 112 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด สามารถปรับเป็น Manual Mode ได้ ซึ่งหากดูจากอัตราทดเกียร์และเฟืองท้ายแล้ว เหมือนกับที่พบในเกียร์ 4 สปีด ของ MG ZS เปี๊ยบ
เครื่องยนต์บล็อกนี้สามารถรองรับน้ำมันทางเลือกได้ถึงระดับ E85
สำหรับรุ่นที่เราได้มีโอกาสทดสอบขับเป็นรุ่นท็อปสุด 1.5 V วางจำหน่ายในราคา 629,000 บาท ซึ่งก็ยังอยู่ในระดับเดียวกับอีโคคาร์รุ่นท็อปของหลายๆ ค่ายเช่นเดิม
ดีไซน์ภายนอกของ MG3 2018 ใหม่ มีการปรับปรุงไปจากเดิมอย่างชัดเจน ติดตั้งไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบโปรเจคเตอร์ ส่องสว่างด้วยหลอดฮาโลเจน พร้อมสวิตช์ปรับระดับสูง-ต่ำภายในห้องโดยสาร, ไฟ Daytime Running Light แบบ LED อยู่ในชุดโคม, กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่, สเกิร์ตข้างสีดำ, ไฟท้ายแบบ LED Light Guide พร้อมไฟถอยหลังแบบ LED และล้ออัลลอย Bi-colour ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง Maxxis Pro R1 ขนาด 195/55 R16
สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในรถ MG นั่นก็คือ หลังคาซันรูฟ เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า ซึ่งจะอยู่ใน 2 รุ่นบน (X และ V) เท่านั้น และหากเลือกตัวถังสีเหลือง Tudor Yellow หรือสีแดง Ruby Red ก็จะได้หลังคาสีดำ Black Top อย่างที่ปรากฏในภาพ แต่หากเลือกตัวถังสีน้ำเงิน Marina Blue ก็จะตัดด้วยหลังคาสีขาวแทน
ภายในห้องโดยสารมีการออกแบบใหม่หมดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแผงคอนโซลและแผงประตู เบาะนั่งถูกหุ้มด้วยวัสดุผ้าสลับหนังสังเคราะห์ เดินตะเข็บด้วยด้ายสีขาว ฝั่งผู้ขับขี่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ ขณะที่เบาะหลังสามารถปรับ-พับแยก 60:40 ได้ พร้อมพนักพิงศีรษะแบบปรับระดับได้มาให้ 2 ตำแหน่ง
ตัวเบาะนั่งคู่หน้าถูกออกแบบมาได้ดี โดยมีปีกขนาดใหญ่บริเวณพนักพิงที่ช่วยยึดรั้งร่างกายเพื่อความกระชับขณะเข้าโค้ง เช่นเดียวกับเบาะหลังที่ออกแบบให้มีเว้ารับสรีระได้พอประมาณ
พวงมาลัยแบบ 3 ก้านหุ้มหนังถูกยกมาจาก MG ZS ติดตั้งปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและครูซคอนโทรลมาให้ สามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้เท่านั้น ก้านไฟเลี้ยวถูกติดตั้งไว้ทางซ้ายแบบรถยุโรป พร้อมทั้งมีฟังก์ชั่นเปิด-เปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และ Follow Me Home Light มาให้, ก้านทางขวาสำหรับควบคุมระบบปัดน้ำฝนแบบปรับตั้งหน่วงเวลาได้
ส่วนมาตรวัดความเร็วเป็นแบบ 2 วงขนาดใหญ่ พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ โดยไม่มีมาตรวัดบอกอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นมาให้
ส่วนใครมองหาปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์คงต้องผิดหวัง เพราะ MG3 ถูกติดตั้งกุญแจรีโมทแบบพับได้มาให้เหมือนกันทุกรุ่นย่อย
คอนโซลหน้าถูกตกแต่งด้วยลายโมเดิร์นกราฟฟิกที่ช่วยให้ดูมีมิติมากขึ้น ไม่เหมือนกับ MG ZS ที่จะมีความทื่อๆ อยู่บ้าง ติดตั้งช่องแอร์ทรงกลมเรียกว่า Jet turbine บริเวณริมประตูทั้งสองข้าง
แผงบังแดดคู่หน้าทั้งสองข้างถูกติดตั้งกระจกแต่งหน้าขนาดใหญ่พร้อมฝาปิดมาให้ ขณะที่ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารมีเฉพาะด้านหน้าเท่านั้น
ในรุ่น X และ V จะถูกติดตั้งหน้าจออินโฟเทนเม้นท์แบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว สำหรับระบบความบันเทิงและระบบ i-SMART ที่เราจะพูดถึงแบบเต็มๆ กันอีกครั้ง สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth พร้อมกับมีช่องต่อ USB ให้ 1 ตำแหน่ง
ถัดลงมาเป็นปุ่มสำหรับควบคุมเครื่องเสียง โดยปุ่มกลมๆ ตรงกลางนั้น นอกจากจะใช้ควบคุมระดับเสียงแล้ว หากกดลงไปก็จะทำหน้าที่เป็นปุ่มโฮม เพื่อให้หน้าจอกลับมายังหน้าแรก ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานจอสัมผัส
ไล่ลงมาเป็นสวิตช์ควบคุมระบบปรับอากาศหน้าตาหรูหรา แต่ระบบปรับอากาศของ MG3 ไม่ใช่ระบบปรับอากาศอัตโนมัติหรอกนะครับ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบแอร์ของรถรุ่นนี้ ไม่มีตัวเลขอุณหภูมิระบุไว้ เพราะที่เห็นปุ่มฟ้าๆ นั่น ก็เปรียบเหมือนปุ่มปรับการทำงานของน้ำยาแอร์ปกติทั่วไปนั่นเอง โดยทุกครั้งที่ใช้งานปุ่มเหล่านี้ ก็จะมีแถบปรากฏขึ้นบนหน้าจอเพื่อแสดงผลให้ทราบด้วย
ส่วนฐานเกียร์อัตโนมัติถูกหุ้มด้วยวัสดุหนัง ช่วยเพิ่มความหรูหราให้รถดูแพงเกินราคา ใกล้กันถูกติดตั้งปุ่มปิดระบบควบคุมเสถียรภาพมาให้
กลับมาที่ระบบ i-SMART ของ MG3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ซึ่งเอ็มจีระบุว่าเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดที่มีในปัจจุบัน โดยเพิ่ม 2 ฟังก์ชั่นใหม่ ได้แก่ Online Music และ Food & Travel Guide มาให้ ซึ่งทั้งคู่ไม่มีในรุ่น ZS
สำหรับฟังก์ชั่น Online Music จะเป็นการใช้แพล็ตฟอร์มของ True Music ติดตั้งมาให้ในรถเลย เจ้าของรถสามารถค้นหาเพลงและเลือกฟังเพลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ ส่วนฟังก์ชั่น Food & Travel Guide เป็นการแนะนำร้านอาหาร พร้อมกับจองโรงแรม คล้ายกับที่เราใช้กันบนสมาร์ทโฟน
ขณะที่ฟังก์ชั่นอื่นๆ ของ i-SMART ใน MG3 เช่น โทรออก-รับสาย, ระบบ i-CALL โทรหาคอลเซ็นเตอร์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยหาจุดหมายปลายทางที่เราต้องการ แล้วส่งพิกัดกลับมายังรถได้, ระบบนำทาง Smart Navigation พร้อมแสดงการจราจรแบบเรียลไทม์, ระบบ Electronic Fence แจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเขตที่กำหนดไว้, ระบบ Remote Vehicle Control สั่งล็อค-ปลดล็อคประตูผ่านสมาร์ทโฟน, ระบบแจ้งเตือนความผิดปกติ Security Alarm, ระบบตรวจสอบความผิดปกติของตัวรถ Remote Vehicle Diagnosis, ระบบวางแผนการเดินทาง Travel Plan เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังสามารถสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย โดยพูดว่า “ฮัลโหล เอ็มจี” เพื่อเป็นการเรียกใช้งานระบบ จากนั้นจึงตามด้วยคำสั่งที่ต้องการ ซึ่งการสั่งงานด้วยเสียงสามารถควบคุมเครื่องเสียง, ระบบปรับอากาศ, ระบบนำทาง และการโทรออกได้ แต่ไม่สามารถควบคุมการทำงานระบบซันรูฟได้เหมือนกับรุ่น ZS
ขณะที่ฟังก์ชั่นรีโมทสตาร์ท พร้อมกับเปิดแอร์ผ่านสมาร์ทโฟนในรุ่น ZS ก็ไม่มีใน MG3 เช่นกัน ซึ่งวิศวกรให้เหตุผลว่าเกิดจากข้อจำกัดในการพัฒนาตัวรถตั้งแต่แรก
ด้านระบบความปลอดภัยยังคงอัดแน่นมาให้ตามสไตล์เอ็มจี โดยมีระบบ Synchronized Protection System 8 ฟังก์ชั่น ประกอบด้วย ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS, ระบบเสริมแรงเบรก EBA, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบควบคุมเบรกขณะเข้าโค้ง CBC, ระบบควบคุมการทรงตัว SCS, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS, ระบบป้องกันลื่นไถลเมื่อลดเกียร์ต่ำฉับพลัน MSR และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS
ทุกรุ่นมาพร้อมระบบถุงลมนิรภัยคู่หน้า, เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ทั้ง 5 ตำแหน่ง, ระบบล็อคประตูอัตโนมัติตามความเร็ว, ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน และจุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX
ขณะที่รุ่น D ถูกเพิ่มด้วยเซ็นเซอร์กะระยะท้าย ส่วนรุ่น X และ V ถูกเพิ่มด้วยกล้องมองภาพด้านหลังมาให้ด้วย
ทดสอบบนเส้นทางกรุงเทพฯ – หัวหิน ที่เราคุ้นเคยดี
หลังจากเข้ามานั่งภายในห้องโดยสารของ MG3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ บอกเลยว่าโปร่งโล่งกว่าที่คิด ไม่อึดอัดตามขนาดตัวถัง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการออกแบบตัวถังให้มีลักษณะเหลี่ยม ทำให้ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง แม้ว่าจะนั่งตำแหน่งผู้โดยสารด้านหลังก็ไม่อึดอัด ซึ่งโดยรวมดูโปร่งกว่า Suzuki Swiftอยู่นิดหน่อย แต่ก็ยังแพ้เจ้าตลาดอย่าง Toyota Yaris Hatchback อยู่ดี
เราเริ่มออกตัวออกจากเกสรทาวเวอร์ ฝ่าการจราจรอันคับคั่งช่วงสายๆ สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้คือน้ำหนักของพวงมาลัยแบบไฮโดรลิคที่หนักกว่าพวงมาลัยไฟฟ้าเอาการ ซึ่งคุณผู้หญิงร่างบางอาจรู้สึกไม่ชอบอยู่บ้าง แต่หากเคยขับรถยุโรปอายุสัก 15 ปีมาก่อน นั่นแหละครับ มันให้ฟีลดิบๆ แบบนั้นเลย
แต่กระนั้น ด้วยขนาดตัวถังและความยาวฐานล้อที่สั้น ทำให้ MG3 เป็นรถที่คล่องตัว เหมาะสำหรับการขับขี่ลัดเลาะไปในเมืองหรือที่จอดรถของห้างสรรพสินค้าได้เป็นอย่างดี
จุดสำคัญของ MG3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ ก็คือ การเปลี่ยนระบบเกียร์จาก AMT มาเป็นเกียร์แบบ Torque converter 4 สปีด ทำให้ฟีลลิ่งการเปลี่ยนเกียร์เป็นธรรมชาติมากขึ้น อาการเกียร์กระตุกทีพบในรุ่นก่อนหายไปจนสิ้น แต่การเซ็ทอัตราทดเกียร์ที่ค่อนข้างห่าง ทำให้ความต่อเนื่องของการเปลี่ยนเกียร์สู้เกียร์พวก 5 สปีดไม่ได้ (ส่วน CVT คงไม่ต้องพูดถึง เพราะอันนั้นเขาออกแบบให้ไร้รอยต่ออยู่แล้ว)
ถึงกระนั้น เกียร์ 4 สปีดใน MG3 ใหม่ ก็น่าจะทำให้หลายคนแฮปปี้กับการใช้ชีวิตบนรถคันนี้มากขึ้น โดยเฉพาะการขับขี่ในเมือง
เมื่อเราขับมาจนถึงช่วงถนนพระราม 2 พอให้ใช้ความเร็วได้แล้ว ความโดดเด่นอีกอย่างของ MG3 ก็คือ ช่วงล่างที่ให้การดูดซับแรงสะเทือนดี พร้อมทั้งให้ความมั่นคงที่ความเร็วสูง ไม่โหวงเหวงเหมือนกับรถญี่ปุ่นหลายรุ่น ถือเป็นรถเล็กที่มีช่วงล่างโดดเด่นมากที่สุดในตลาดคันหนึ่งเลยก็ว่าได้
ด้านอัตราเร่งนั้น เราลองจับเวลา 0-100 กม./ชม. ได้ตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 15 วินาทีหย่อนๆ ซึ่งก็นับว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติที่รับได้ ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะอัตราทดของเกียร์ที่เซ็ทไว้ค่อนข้างห่าง ทำให้มีการสูญเสียกำลังในช่วงจังหวะเปลี่ยนเกียร์นั่นเอง แต่กระนั้น การใช้งานทั่วไปก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
สิ่งที่สังเกตได้อีกอย่างหนึ่งของ MG3 คือ เสียงลมขณะวิ่งด้วยความเร็วสูง ที่จะเริ่มได้ยินตั้งแต่ 100 กม./ชม. เป็นต้นไป โดยเสียงจะเข้ามาบริเวณกระจกหูช้างทั้งสองข้าง และจะได้ยินชัดเจนเมื่อขับเร็วขึ้น แต่หากมองข้ามจุดนี้ไปได้ก็ถือว่าไม่มีอะไรน่ากังวล
สรุป MG3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ มีการปรับปรุงดีไซน์ภายนอก-ภายใน ให้ดูน่าใช้ขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ เพิ่มอ็อพชั่นภายในห้องโดยสารสร้างความคุ้มค่า โดยเฉพาะระบบ i-SMART ที่มีฟังก์ชั่นหลากหลาย และเหนือกว่าคู่แข่งทุกรายในตลาดขณะนี้
ส่วนการเปลี่ยนเกียร์จากระบบ AMT มาเป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ก็ช่วยให้การขับขี่เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเกียร์ 4 สปีดเองก็ยังถือว่าไม่สุดนักสำหรับรถรุ่นปี 2018 แต่ก็ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกแฮปปี้กับรถคันนี้ได้กว่ารุ่นเดิมแน่นอน
ช่วงล่างของ MG3 ถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้รถคันนี้สามารถใช้งานได้ทั่วไทย จะขับไปต่างจังหวัดก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเกาะถนน อัตราเร่งอยู่ในระดับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรทั่วไป ไม่หวือหวา แต่ก็ไม่อืดจนน่าเป็นกังวล หากใครกำลังมองหารถราคาประหยัด แต่ให้ความคุ้มค่าได้อย่างเหลือเฟือแล้วล่ะก็ MG3 ใหม่ ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากที่เดียวครับ
ราคาจำหน่าย MG3 2018 ไมเนอร์เชนจ์ มีดังนี้
- MG3 รุ่น C ราคา 519,000 บาท
- MG3 รุ่น D ราคา 549,000 บาท
- MG3 รุ่น X ราคา 589,000 บาท
- MG3 รุ่น V ราคา 629,000 บาท *รุ่นที่ใช้ในการทดสอบ
ขอขอบคุณ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้
Cr.Sanook
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น